ไขมันพอกตับ ภัยเงียบที่มาพร้อมกับความอ้วน
ไขมันพอกตับ โดยทั่วไปแล้วมักจะไม่แสดงอาการ จนกระทั่งได้ไปตรวจสุขภาพถึงรู้ว่ามีภาวะ ไขมันพอกตับ
อีกทั้งโรคนี้ยังเกิดและพบได้บ่อยในกลุ่มคนที่เป็น โรคอ้วน หรือ อ้วนลงพุง ซึ่งหากปล่อยทิ้งไว้ หรือถูกสะสมเป็นระยะเวลานาน ก็จะทำให้อวัยวะหรือเซลล์ต่างๆ ภายในร่างกายถูกทำลาย และเกิดเป็นโรคมะเร็งตับได้
วันนี้เราจะพาไปรู้จักกับโรคไขมันพอกตับให้มากยิ่งขึ้นกันค่ะ
ไขมันพอกตับเกิดจากสาเหตุใด?
สาเหตุหลักๆ ของ โรค ไขมันพอกตับ (liver disease) สามารถแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆ ได้แก่
1. ไขมันพอกตับ ที่เกิดจากการดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ (alcoholic fatty liver disease) โดยความรุนแรงของโรคก็จะขึ้นกับปริมาณ และระยะเวลาที่ดื่มแอลกอฮอล์
2. ไขมันพอกตับ ที่ไม่ได้เกิดจากแอลกอฮอล์ (non-alcoholic fatty liver disease) คือโรคตับที่มีการสะสมของไขมัน ซึ่งส่วนใหญ่จะอยู่ในรูปของไขมันไตรกลีเซอร์ไรด์ภายในเซลล์ตับ
ซึ่งอาจเป็นเพียงภาวะไขมันสะสมอยู่ในเซลล์ตับ หรือมีอาการอักเสบของตับร่วมด้วย โดยไม่มีประวัติการดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณที่มากพอที่ทำให้เกิดโรคตับ
ซึ่งปัจจัยเสี่ยงก็ได้แก่ พวกกลุ่มโรคเมตาบอลิก (metabolic syndrome) ก็คือ โรคอ้วนโดยเฉพาะการอ้วนแบบลงพุง โรคเบาหวาน โรคไขมันในเลือดสูง ความดันโลหิตสูง
หรือการรับประทานอาหารที่มีไขมันสูง น้ำตาลสูง เป็นประจำ นอกจากนี้ก็อาจจะเกิดจากผลข้างเคียงของการใช้ยาบางชนิดได้
ทำไมคนอ้วนถึงเป็นโรค ไขมันพอกตับ ?
ไขมันพอกตับ มักพบในคนที่เป็นโรคอ้วนลงพุง โดยมีความสัมพันธ์โดยตรงกับภาวะดื้อต่ออินซูลิน (Insulin resistance)
เมื่อร่างกายเกิดภาวะดื้อต่ออินซูลิน จะทำให้มีการปลดปล่อยกรดไขมันอิสระ (free fatty acid) จากเนื้อเยื่อไขมันเข้าไปสู่กระแสเลือดในปริมาณที่มาก
เมื่อมีกรดไขมันอยู่ในเลือดสูงขึ้น ตับที่ซึ่งปกติมีหน้าที่ในการเก็บสะสมพลังงานจากไขมัน ก็จะทำหน้าที่เก็บกรดไขมันที่อยู่ในเลือดเหล่านั้น
เข้าไปเก็บสะสมไว้ที่ตับในรูปของไตรกลีเซอร์ไรด์ เมื่อสะสมไปเรื่อยๆ เป็นระยะเวลานานก็จะทำให้เกิดการอักเสบทำลายเซลล์ตับและเกิดพังผืดสะสมตามมา
ไขมันพอกตับ มีอาการอย่างไร?
โดยทั่วไปโรค ไขมันพอกตับ จะไม่แสดงอาการอะไร ถ้ามีอาการก็ไม่ได้เป็นอาการเฉพาะเจาะจงที่แสดงถึงโรคนี้ เช่น บางคนอาจจะมีอ่อนเพลีย ท้องอืด คลื่นไส้ เป็นต้น
ซึ่งปกติแล้วจะตรวจพบว่าเป็นโรคนี้จากการตรวจสุขภาพประจำปี จากการตรวจเลือดดูค่าการทำงานของตับ หรืออัลตร้าซาวด์ตับ
ใครไม่อยากตับพัง ลองฟังความรู้ Liver Detox
ระยะของไขมันพอกตับ สามารถแบ่งได้เป็น 4 ระยะ
ระยะที่ 1 มีแต่ไขมันสะสมในเซลล์ตับอย่างเดียว แต่ไม่มีการอักเสบร่วมด้วย
ระยะที่ 2 เริ่มมีตับอักเสบเล็กน้อย
ระยะที่ 3 มีตับอักเสบรุนแรงต่อเนื่อง ร่วมกับมีความผิดปกติของเซลล์ตับที่บวมโต
ระยะที่ 4 เริ่มมีการตายของเซลล์ตับ มีพังผืดสะสมภายในตับร่วมด้วย เกิดตับแข็งและมีโอกาสเสี่ยงเป็นมะเร็งตับ
ไขมันพอกตับ รักษาอย่างไร?
โรคไขมันสะสมในตับมีความสัมพันธ์กับโรคอ้วน ภาวะดื้อต่ออินซูลิน ไขมันในเลือดสูง
ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มโรคทางเมตาบอลิค การรักษาจึงมุ่งเน้นตามสาหตุในการเกิดโรคไขมันสะสมในตับ ด้วยการแก้ไขปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้โรคแย่ลง โดยการ
1.ลดน้ำหนัก และควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์สมส่วน
โดยการควบคุมอาหาร ร่วมกับออกกำลังกายสม่ำเสมอ โดยการออกกำลังกายแบบแอโรบิคที่เหมาะสมนานครั้งละ 30 นาที อย่างน้อย 5 ครั้ง/สัปดาห์
อาหารที่ควรหลีกเลี่ยงได้แก่ อาหารที่มีไขมันอิ่มตัว (saturated fatty acid) หรือ คาร์โบไฮเดรตสูง ส่วนอาหารที่ดีต่อภาวะไขมันพอกตับได้แก่ อาหารที่มีปริมาณคาร์โบไฮเดรตต่ำ มีไฟเบอร์สูง ถั่วเหลือง ร่วมกับน้ำมันปลา (fish oil) หรือ น้ำมันมะกอก(olive oil)
หากผู้ป่วยมี ดัชนีมวลกาย (BMI) มากกว่า 40 Kg/m2 อาจพิจารณาทำ ผ่าตัดรักษาโรคอ้วน ปัจจุบันการผ่าตัดลดความอ้วน (Bariatric surgery)ในผู้ป่วยโรคอ้วนระดับรุนแรง เป็นที่ยอมรับกันว่าได้ผลดีต่อทั้งการลดน้ำหนัก โรคแทรกซ้อนจากโรคอ้วน และคุณภาพชีวิตดีขึ้น
2.ผู้ป่วยที่เป็นเบาหวาน หรือเป็นโรคไขมันในเลือดสูงก็ควรควบคุมโรคดังกล่าวอย่างเต็มที่
โรคไขมันพอกตับ สาเหตุที่พบบ่อยที่สุดโดยมีความสัมพันธ์กับโรคอ้วนลงพุง ซึ่งเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนทางโรคหัวใจและหลอดเลือด และอาจทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตจากภาวะแทรกซ้อนของตับแข็ง ตับวาย และมะเร็งตับ
โดยการรักษาจะมุ่งแก้ไขภาวะดื้อต่ออินซูลินเป็นหลัก ด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมทั้งการควบคุมอาหาร ลดน้ำหนัก ออกกำลังกายแบบแอโรบิกอย่างสม่ำเสมอ การรักษาด้วยยายังมีข้อจำกัด อาจพิจารณาในผู้ป่วยที่ให้การรักษาโดยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมแล้วไม่ได้ผลหรือมีเบาหวานร่วมด้วย
อาหารที่ดีต่อสุขภาพตับ
✨ 1. มะนาว 🍋
ดื่มน้ำมะนาวผสมน้ำอุ่นทุกเช้าหลังตื่นนอน! ช่วยกระตุ้นการล้างพิษและทำให้ตับทำงานดีขึ้น
✨ 2. ผักใบเขียวขม 🥬
เช่น เคล หรือผักที่มีรสขม ตับของเราชอบมาก! ช่วยขับสารพิษและเสริมสุขภาพตับให้แข็งแรง
✨ 3. ชาเขียว 🍵
อุดมไปด้วย EGCG สารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยลดไขมันสะสมในตับ และส่งเสริมการทำงานของตับ
✨ 4. วอลนัท 🌰
ไขมันดีในวอลนัทช่วยลดการอักเสบของตับ และทำให้ตับแข็งแรงขึ้น
✨ 5. ขมิ้นชัน ✨
มี เคอร์คูมิน (Curcumin) ที่ช่วยลดไขมันพอกตับ และทำให้ตับทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ที่DSclinic มีสูตร IV บำรุงตับสูตรพิเศษ เรียกว่า
Liver Detox – ช่วยขับสารพิษออกจากตับ ช่วยฟื้นฟูและบำรุงตับให้แข็งแรง
ตับเป็นอวัยวะที่สำคัญมาก อย่าลืมดูแลสุขภาพตับของคุณ
Cr : rattinan