มนุษย์ปรารถนาจะมีอายุยืนยาว และแสวงหายาอายุวัฒนะที่จะสามารถเอาชนะชะตากรรมแห่งความเสื่อมของร่างกาย มาเป็นเวลายาวนาน
ซึ่งสิ่งคัญได้แก่การดูแลสุขภาพร่างกาย อาหาร และจิตใจ โดยมีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์สนับสนุน
ปัจจุบันอายุขัยเฉลี่ยของชาวโลกอยู่ที่ 71.4 ปี ซึ่งหมายความว่าบางแห่งสมาชิกมีอายุขัยต่ำกว่านี้และบางแห่งสูงกว่านี้
มีอยู่ 5 แห่งในโลกที่เป็นแหล่งของผู้มีอายุยืนและอยู่อย่างมีสุขภาพดีอีกด้วยตามข้อมูลจากหนังสือชื่อ
The Blue Zone Solution(2015) โดย Dan Buettner
- แห่งแรก คือ เมืองSadinia ใน อิตาลี มีสัดส่วนของชายที่อายุเกินกว่า 100 สูงที่สุดในโลก อาหารส่วนใหญ่มีพืชผักเป็นหลักออกกำลัง และมีความใกล้ชิดอบอุ่นของครอบครัว
คนเหล่านี้มีอาชีพเลี้ยงแกะวันหนึ่งๆ เดินไม่ต่ำกว่า 8 กิโลเมตรที่น่าสังเกตก็คือชายที่มีลูกสาวดูแลเป็นอย่างดี(ไม่ใช่ภรรยาเพราะอาจแก่เท่าเทียมกันจนดูไม่ไหว)มักมีชีวิตยืนยาวกว่าเพื่อนบ้าน
นักวิทยาศาสตร์พบว่าคนในบริเวณนี้มียีนส์ตัวที่มีชื่อว่า M26 ซึ่งโยงใยกับการมีชีวิตยืนยาวถ่ายทอดกันลงมาจากบรรพบุรุษ ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจที่มีการผสมกันอย่างเหมาะเจาะระหว่างยีนที่ดี อาหารที่เหมาะสม การออกกำลัง และความสุขทางใจ
- แห่งที่ 2 คือ เกาะOkinawa ญี่ปุ่น ความผูกพันช่วยเหลือกันอย่างใกล้ชิดเป็นวัฒนธรรมเด่นของชาวเกาะนี้ เครือข่ายเล็กๆ ที่ถักทอกันอย่างอบอุ่นที่เรียกกันว่า Moai ให้กำลังใจสนับสนุนกันตลอดชีวิตจนช่วยลดความเครียดและร่วมกันสร้างนิสัยดูแลสุขภาพที่เหมาะสมสิ่งที่เกิดตามมาก็คือผู้หญิงมีอายุยืนที่สุดในโลกจำนวนไม่น้อยมีอายุเกินกว่า 100 ปี
- แห่งที่ 3 คือ เมืองNicoya ประเทศคอสตาริกา คนที่นี่หลีกเลี่ยงการบริโภคอาหารที่ผ่านกระบวนการปรุงแต่งและบริโภคถั่ว ข้าวโพดและผักตลอดจนผลไม้ การบริโภคพืชผักที่อุดมด้วยสารอาหารครบหมู่และการออกกำลังกลางแจ้งทำให้มีร่างกายแข็งแรง กอบกับชาวเมืองนี้มีอุดมการณ์ในการดำเนินชีวิตที่แข็งขันทำให้มีสุขภาพทั้งกายและใจดีจนส่วนใหญ่มีอายุ 90 ปีขึ้นไป
- แห่งที่ 4 เมืองLoma Linda รัฐคาลิฟอเนียร์ เมืองนี้เป็น “เมืองหลวง” ของศาสนาคริสต์นิกาย The Seventh-day Adventist การมีหลักการดำเนินชีวิตซึ่งเน้นชุมชนตามศาสนาทำให้ชาวเมืองนี้มีชีวิตยืนยาวกว่าคนอเมริกันทั่วไปประมาณ 10 ปี หลายคนในเมืองนี้ไม่บริโภคเนื้อโดยกินพืชผักและธัญพืชที่ผ่านกระบวนการขัดสีน้อยและถั่วเป็นหลัก
- แห่งที่ 5 คือ เมืองIkaria ประเทศกรีก ความภาคภูมิใจอย่างยิ่งในการเป็นชาวเกาะ Ikaria ทำให้ชาวเมืองนี้พร้อมใจที่จะลงทุนให้กับชุมชน การนอนดึกโดยทดแทนด้วยการนอนกลางวันและการบริโภคอาหารที่เรียกว่าMediterranean (ผักผลไม้ปริมาณมากถั่วธัญพืชที่ผ่านกระบวนการขัดสีน้อยมันฝรั่งและน้ำมันมะกอก)อย่างเคร่งครัด ทำให้ 1 ใน 3 ของชาวIkaria มีชีวิตอยู่ในวัย 90 ปีและส่วนใหญ่ปลอดภัยจากโรคอัลไซเมอร์และการเจ็บป่วยเรื้อรัง
กล่าวโดยสรุปก็คือคนอายุยืนมีสาเหตุจากอาหารที่บริโภค ความผูกพันธ์ทางสังคมกับผู้อื่น ความสุขทางจิตใจอันโยงใยกับศาสนา การปลอดจากความเครียด การมีอุดมการณ์ในการใช้ชีวิต การออกกำลังกายและอาจมียีนอันเหมาะสมประกอบด้วย
สำหรับคนใจร้อนที่ต้องการอยู่นานๆ แก่อย่างช้าๆ อย่างมีสุขภาพดี โดยไม่ต้องทำตัวเหมือนคนเหล่านี้ บัดนี้นักวิทยาศาสตร์ได้พบสารตัวหนึ่งที่มีชื่อว่า NAD :Nicotinamide Adenine Dinucleotide
โดยระบุว่าเป็นสิ่งที่ใกล้ที่สุดของการเป็นยาอายุวัฒนะที่มนุษย์แสวงหากันมายาวนานในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาตินักวิจัยคนสำคัญคือ
David Sinclair แห่ง Paul F. Glenn Center for The Biology of Aging ที่ Harvard Medical School
Sinclair บอกว่า NAD+เป็นหนึ่งในโมเลกุลที่สำคัญที่สุด เป็นพลังงานของเซลล์ ที่จะทำให้เซลล์ดำรงชีวิตอยู่ ถ้าขาดมันมนุษย์จะตายใน 30 วินาที
NAD+ เป็นโคเอนไซม์ที่ได้จากวิตามินบี 3 (Niacin) หน้าที่หลักคือการผลิตพลังงานในทุกเซลล์และสำคัญอย่างยิ่งในการกำกับควบคุมความแก่ของเซลล์และดูแลให้ร่างกายทั้งหมดทำงานอย่างเป็นปกติ
เมื่อมีอายุมากขึ้นปริมาณ NAD+ในร่างกายมนุษย์และสัตว์จะลดลงอย่างมากเป็นลำดับ
คุณรู้ไหมว่า NAD leves ลดน้อยลงอย่างมากเมื่อเราอายุมากขึ้น?
วารสาร Science ฉบับ มี.ค.2017 พิมพ์เรื่องราวของ Sinclair และทีมงานที่ใส่บางหยดของสารเหลวที่เพิ่มNAD+ลงในน้ำให้หนูกลุ่มหนึ่งกิน ภายใน 2 ชั่วโมงระดับ NAD+ในหนูสูงขึ้นอย่างมากและภายในหนึ่งอาทิตย์
สัญญาณของความแก่ดังปรากฏในเนื้อเยื่อและกล้ามเนื้อของหนูแก่ กลับสภาพไปถึงจุดที่ผู้วิจัยไม่สามารถบอกข้อแตกต่างระหว่างเนื้อเยื่อของหนูอายุ 2 ปีกับหนูอายุ 4 เดือนได้
บัดนี้นักวิทยาศาสตร์อีกกลุ่มหนึ่งได้ทดลองกับมนุษย์โดยเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเดาสุ่มและรายงานผลในวารสาร Nature ฉบับพ.ย.2017 ว่า
คนที่กินอาหารเสริมที่มีNAD+ ทุกวันนั้นทำให้มีระดับNAD+ในร่างกายสูงได้อย่างสม่ำเสมอติดต่อกันเป็นเวลาถึง 2 เดือน
ตัว Sinclair เองก็ทดลองกินอาหารเสริมทุกวัน เพื่อเพิ่มระดับNAD+และพบว่าไม่มีอาการเมาค้าง หรือ jet lag จากการเดินทางดังที่เคยเป็น
เขาพูดเร็วขึ้นและรู้สึกหนุ่มขึ้น พ่อของเขาที่อายุ 78 ก็ทดลองกินเช่นเดียวกันและรู้สึกหนุ่มขึ้นจนเดินป่าเขาอาทิตย์ละ 6 วันและเดินทางไป ทั่วโลก ขณะนี้FDA (U.S. Food and Drug Administration) ทำวิจัยในมนุษย์อย่างกว้างขวางขึ้น
และจะผลิตอยู่ในรูปอาหารเสริม และวิตามินทางกระแสเลือด โดยให้การรับรองว่าไม่เป็นอันตราย
โดย Sinclair ได้กล่าวย่อๆถึง NAD+ ไว้ว่า
“…the closest we’ve gotten to a fountain of youth.”
– Harvard Medical School’s David Sinclair, Ph.D., A.O.
และในปัจจุบัน มี NAD+ ในรูปแบบเข้าทางเส้นเลือด เรียกว่า NAD+ IV :ซึ่งเป็นตัววิตามินที่ได้รับการวิจัย และนำเข้าจากประเทศเยอรมัน ซึ่งมีคุณประโยชน์
- ชะลอวัย (Anti-aging)
- ช่วยซ่อมแซม DNA (Regulating DNA Repair)
- เพิ่มพลังงานชีวิตในร่างกาย (Powering Metabolism & Boosting Energy)
- ปกป้อง และฟื้นฟูสมอง รวมทั้งระบบประสาท (Neuro-Protection)
- เพิ่มประสิทธิภาพ และการฟื้นตัวในนักกีฬา (Athletic Recovery & Performance)
- สมองปลอดโปร่ง แจ่มใส กระปรี้กระเปร่า (Mental Clarity)
Reference
https://www.bangkokbiznews.com/blog/detail/644137