STEMCELL THERAPY

stemcell

โลกเราทุกวันนี้มีแต่มลพิษ ไม่ว่าจะเป็นอากาศที่เราหายใจ น้ำที่เราดื่มกิน หรือแม้แต่ข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ ก็ล้วนแล้วแต่ปะปนไปด้วยสารพิษ หรือแม้แต่ความเครียดทำให้ความแก่ห รือความชรา (Aging) มาเยือนเร็วขึ้นมากยิ่งขึ้น

การดูแลในเรื่องของความสวยความงามในวิธีแบบธรรมดาทั่วไป ก็ได้ผลดีแต่เมื่ออายุขึ้นเลข 4 นั้น การสร้างเซลล์ใหม่ไม่เหมือนเมื่ออายุยังน้อย

แล้ว จะเห็นได้อย่างชัดเจนเลยว่าจะมีการสร้างเซลล์ใหม่น้อยลง ขณะที่มีเซลล์เสื่อมสภาพมากขึ้นเรื่อยๆ จึงไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไม เมื่ออายุมากขึ้น การทำแต่เลเซอร์หรือทรีทเมนท์ต่างๆ จึงไม่ได้ผลดีเหมือนเมื่อตอนอายุน้อยๆแล้ว

ดังนั้นถ้าหากต้องการให้ผลการรักษาดียิ่งขึ้น การแพทย์แนวใหม่จึงต้องทำการ รักษาด้วยเซลล์บำบัดควบคู่กันไปด้วย

ดังนั้นลองมาทำความเข้าใจ ในเรื่องของเซลล์บำบัดกันดีกว่าว่า

มันคืออะไร และดีอย่างไร

stemcell

เซลล์บำบัดคืออะไร

แนวคิดของการทำเซลล์บำบัดก็คือ การฟื้นฟูเซลล์ให้กลับมาแข็งแรง มีคุณภาพดีอีกครั้ง ประกอบด้วยการขับของเสีย หรือขับสารพิษออกจากเซลล์ การเติมสารอาหารที่เซลล์ต้องการเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพให้กับเซลล์ จนถึงการซ่อมเซลล์ เพิ่มเซลล์ใหม่ๆ เซลล์บำบัดนับได้ว่าเป็นการบำบัดรักษา ด้วยการฉีดปลูกถ่ายเซลล์ชนิดต่างๆเข้าสู่ร่างกายของเรา เพื่อบำบัดรักษาอาการเจ็บป่วย คืนสุขภาพที่ดีให้แก่ร่างกาย และที่เซลล์บำบัด (Stem Cell Therapy) นั้นกำลังได้รับความนิยมและพูดถึงกันเป็นจำนวนมาก เนื่องมาจากว่า เซลล์บำบัด นำมาใช้ในวงการความสวยความงามนั้นเอง

ดังนั้นเมื่อนำมาใช้ในวงการของความสวยความงามนั้นจึงสามารถที่จะคืนความอ่อนเยาว์ ให้แก่ผิวพรรณของคุณทำให้กลับมา เป็นหนุ่มสาวอีกครั้งและยังคงสภาพความอ่อนเยาว์นั้น ให้อยู่กับเราไปอย่างยาวนาน เรียกง่ายๆว่าการเข้ามาใช้เซลล์บำบัด เป็นการบล็อกความอ่อนเยาว์ให้อยู่กับเราไปได้อย่างยาวนาน อีกด้วย โดยการเจริญพัฒนาไปเป็นเซลล์เป้าหมาย

 

บทบาทสำคัญของเซลล์บำบัด

  1. การเจริญพัฒนาไปเป็นเซลล์เป้าหมาย

โดยสเต็มเซลล์ชนิดมีเซ็นไคม์ มีบทบาทสำคัญที่เกี่ยวข้องกับทุกระบบ ในร่างกายและในสิ่งแวดล้อมที่ต่างกันในร่างกาย โดยมีหน้าที่หลักคือการซ่อมแซมเซลล์ที่เสื่อมสภาพ ทำให้เนื้อเยื่อและอวัยวะยัง คงมีประสิทธิภาพดีดั่งเช่นหนุ่ม สาว

  1. การเดินทางของสเต็มเซลล์กลับไปยังไขกระดูก หรือที่เรียกว่า Homing

เป็นการช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของร่างกาย โดยที่ไขกระดูกจะเสมือนเป็นบ้านของสเต็มเซลล์ เพราะเป็นสภาวะแวดล้อมที่เหมาะสมในการเพิ่มจำนวน และเดินทางไปยังบริเวณต่างๆของร่างกาย ที่มีความเสียหายระดับเซลล์ และเพื่อทดแทนหรือแทนที่เซลล์ที่เสื่อมสภาพ

  1. การปรับสมดุลในระบบภูมิคุ้มกัน

สเต็มเซลล์ชนิดมีเซ็นไคม์ จะสามารถปล่อยสารเคมีเพื่อควบคุมการอักเสบ โดยสารเคมีดังกล่าวจะส่งผลให้เซลล์เม็ดเลือดขาว ไม่ปล่อยสารที่ทำให้เกิดการอักเสบออกมามากจนเกินไป จึงลดอาการอักเสบในร่างกายได้

  1. การหลังสารเคมีต่างๆที่จำเป็นต่อการสื่อสารของเซลล์

สเต็มเซลล์ชนิดมีเซ็นไคม์ว่าสามารถ ปล่อยสารเคมีออกมาจากเซลล์ได้หลายชนิด แต่ละชนิดทำหน้าที่ต่างๆกัน ทำให้ซ่อมแซมเนื้อเยื่อที่มีความเสียหายอีกด้วย

ดังนั้นจึงสามารถที่จะสรุปได้ว่า ในการใช้สเต็มเซลล์เพื่อการรักษามีประสิทธิภาพที่ดี คือช่วยซ่อมแซมหรือแทนที่เซลล์ที่เสื่อมสภาพ  และยังทำให้เซลล์ยังคงทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงช่วยลดการอักเสบ โดยไปชะลอการทำงานของเซลล์เม็ดเลือดขาว ทำให้การอักเสบในร่างกายหรือเนื้อเยื่อลดลง

 

ทำไมต้องใช้วิธีการเซลล์บำบัด

แม้ว่าจะมีวิธีการในการรักษาความอ่อนเยาว์ เอาไว้ให้กับคุณไปได้อย่างยาวนาน มากมายหลากหลายวิธี แต่วิธีการในการรักษาความอ่อนเยาว์ โดยใช้เซลล์บำบัดนั้นกลับได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก โดยหากเรียนรู้และทำความเข้าใจ และใช้เซลล์บำบัดเข้ามาในการรักษาโรคบางชนิด เช่น การใช้เพื่อรักษาโรคที่เกี่ยวกับระบบประสาท โรคทางไขกระดูก โรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง โรคเบาหวาน  โรคทางตาและโรคกระดูก ก็จะทำให้เราสามารถที่จะคงความอ่อนเยาว์ ไว้ได้อย่างยาวนานโดยการรักษาทั่วไป มักที่จะใช้ยาสารเคมี การใช้รังสีรวมถึงการผ่าตัด เพื่อระงับอาการของโรคที่เกิดขึ้น แต่เมื่อยาหรือสารที่ใช้ในการ รักษาหมดฤทธิ์อาการต่างๆที่เคยเกิดขึ้น ก็จะกลับมาเป็นได้ใหม่อีกครั้ง ทั้งนี้ในบางรายก็จะต้องกินยาไปตลอดชีวิต เพื่อระงับและควบคุมอาการของโรคดังกล่าว และมีแนวโน้มว่าการรักษาด้วยวิธีการในการกินยา ก็จะมีแนวโน้มที่จะต้องได้รับยา ที่มีขนาดเพิ่มขึ้นมากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ

ในทางตรงกันข้ามหากเราเปลี่ยนมาใช้วิธีการ ในการรักษาโดยการใช้เซลล์บำบัด ก็จะมีผลดีต่อร่างกายในระยะยาวมากยิ่งกว่า โดยเป็นการรักษาที่ต้นเหตุของโรค โดยใช้วิธีการกระตุ้นการรักษาและฟื้นฟูตัวเอง ของเซลล์ในร่างกาย เราจึงทำให้สุขภาพร่างกายของเรา โดยรวมสมบูรณ์มากยิ่งขึ้นโดยหลักการ ในการรักษาแบบเซลล์บำบัดที่สำคัญมี 2 ประการคือ

  1. เซลล์ต้นกำเนิดหรือ Progenitor จะเปลี่ยนไปเป็นเซลล์ชนิด ที่สามารถแทนที่เนื้อเยื่อหรือเซลล์ที่เสียหาย โดยจะอาจเปลี่ยนแปลงเซลล์ก่อนในห้องปฏิบัติการ หรือมีการเปลี่ยนแปลงเมื่อเซลล์ เดินทางไปถึงบริเวณเป้าหมาย และเข้าไปแทนที่เนื้อเยื่อที่เสียหาย จึงเป็นการช่วยปรับและฟื้นฟูการทำงาน ของเนื้อเยื่อดังกล่าว

  2. เซลล์ที่ใช้ในการปลูกถ่าย จะมีชีวิตอยู่ในช่วงสั้นๆแต่มีความสามารถ ในการปล่อยสารชีวโมเลกุลต่างๆ ซึ่งละลายน้ำได้เช่น growth factor ซึ่งสารชีวโมเลกุลเหล่านี้ จะไปกระตุ้นเนื้อเยื่อหรืออวัยวะ ที่เสียหายเกิดจากการซ่อมแซมตัวเอง

โดยการแพทย์สมัยใหม่นั้น ได้เริ่มนำเซลล์บำบัดมาใช้ในการ รักษาโรคบางชนิดที่ไม่สามารถ รักษาโดยวิธีการทั่วไป เช่นโรคอัลไซเมอร์ สะเก็ดเงิน สมองเสื่อม พาร์กินสัน ซึ่งอวัยวะเหล่านี้ไม่สามารถซ่อมตัวเองได้ ต้องใช้เซลล์บำบัดเข้าช่วยแต่เพียงอย่างเดียว และยังใช้สเต็มเซลล์ในด้านความงาม และเวชศาสตร์ชะลอวัยอีกด้วย

เมื่อร่างกายได้รับสเต็มเซลล์ จะทำให้รู้สึกมีชีวิตชีวากระปรี้กระเปร่า เพิ่มความสามารถของร่างกาย ในการออกกำลังกาย เพิ่มความหนาของเส้นผม ทำให้เส้นผมแข็งแรง แถมยังเพิ่มสมรรถภาพทางเพศ ทำให้ได้เป็นอย่างดี เพิ่มระดับฮีโมโกลบินในเม็ดเลือดแดง ลดระดับไตรกรีเซอไรด์ในกระแสเลือด ลดระดับครีเอทินินในกระแสเลือด ช่วยให้การทำงานของไตทำงานดีขึ้น ลดระดับน้ำตาลในเลือด ช่วยให้ระบบประสาททำงานดีขึ้น ช่วยเรื่องผื่นคันตามผิวหนังดีขึ้น

นอกจากการใช้ในการรักษาโรคต่างๆแล้ว การใช้สเต็มเซลล์กับงานด้านเวชศาสตร์ความงาม เป็นที่ยอมรับมากขึ้นเนื่องจากใช้แล้วได้ผลดี โดยเฉพาะผู้ที่มีอายุมาก โดยเราใช้ Mesenchymal stem cell ( MSCs ) ในการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน และซ่อมแซมเซลล์ที่เสื่อมสภาพ โดย MSCs จะหลั่งสาร growth factor และ Cytokine โดยเราอาศัยคุณสมบัติการกระตุ้น การสร้างของ MSCs ในการยกกระชับฟื้นฟูผิว บริเวณใบหน้ามือและลำคอ ช่วยการหลุดร่วงของเส้นผม ใช้ในการเสริมหน้าอกโดย MSCs จะเข้าไปแทนที่เซลล์เก่าและกระตุ้น ให้เซลล์ต่างๆในตำแหน่งที่ฉีด และบริเวณใกล้เคียงให้มีการเพิ่มจำนวนมากขึ้น ส่งผลให้เซลล์ผิวแน่นขึ้น อวบอิ่ม กระชับ สดใส เพิ่มความอ่อนวัยและ MSCs ยังสามารถหลั่งสาร PDGF และ VEGF ซึ่งสามารถกระตุ้นการสร้างเส้นเลือดฝอย แถมยังสามารถเพิ่มการหมุนเวียนของเลือดได้เป็นอย่างดี หากนำมาใช้บริเวณใบหน้า จะทำให้ผิวหน้าสวยสดใสมีเลือดฝาด ดูมีน้ำมีนวลและยังแลดูสุขภาพดี

stem cell in aesthetics

 

การฉีดสเต็มเซลล์ให้ประโยชน์กับร่างกายอย่างไรบ้าง

โดยในเวชศาสตร์ชะลอวัย การฉีดสเต็มเซลล์ให้ประโยชน์กับร่างกาย มากมายหลากหลายอย่างเช่น

  • ทำให้มีพลังมากขึ้น
  • ทำให้หลับสบาย
  • ทำให้ตื่นตัว
  • สามารถปรับสมดุลในร่างกายให้ดีขึ้นห้า
  • ลดอาการติดเชื้อ
  • เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของข้อต่อต่างๆในร่างกาย
  • ทำให้อารมณ์คงที่
  • ช่วยปรับสมดุลของฮอร์โมนต่างๆในร่างกาย
  • ใช้ในการรักษาและฟื้นฟูโรคต่าง ตามแหล่งของเซลล์ต้นกำเนิดที่แตกต่างกัน
  • ใช้ในการฟื้นฟูความเสื่อม ซ่อมแซมและฟื้นฟูผิวเซลล์ผิวที่เสื่อมสภาพ
  • ช่วยในเรื่องของผิวพรรณ และความงาม
  • ใช้ในการทดลองเพื่อตรวจสอบ ประสิทธิภาพและความปลอดภัยของยา
  • เพิ่มความแข็งแรงให้กับผิวหนังชั้นหนังแท้
  • ช่วยกระตุ้นการทำงานของสารต้านอนุมูลอิสระ
  • เพิ่มเซลล์ไฟโบรบลาสต์ ทำให้ผิวมีความยืดหยุ่นและไม่หยาบกระด้าง

โดยจะเห็นได้ว่าประโยชน์ในเรื่องของ การใช้สเต็มเซลล์มีประโยชน์มากมาย โดยเฉพาะเมื่อนำมาประยุกต์ใช้กับ การใช้

เวชศาสตร์ชะลอวัย มีมากมายหลากหลายด้าน โดยเมื่อนำมาใช้ก็จะได้ผลแต่ละคนไม่เหมือนกัน

ขั้นตอนการทำงานของสเต็มเซลล์

ระยะการทำงานและผลของการทำเซลล์บำบัด จะขึ้นอยู่กับปัจจัยในหลายๆด้าน โดยเฉพาะทางด้านสุขภาพของแต่ละบุคคลเป็นหลัก โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเซลล์บำบัด ได้แบ่งระยะของการทำงานของเซลล์เป็น 3 ระยะดังต่อไปนี้คือ

ระยะขั้นที่1 หลังจากการทำเซลล์บำบัดทันที ส่วนประกอบของร่างของเซลล์ จะถูกดูดซึมและส่งต่อไปยังกระแสเลือด ผลลัพธ์ที่ได้จากการทำเซลล์บำบัด จะเพิ่มประสิทธิภาพและปรับปรุง การทำงานของร่างกายทำให้ สุขภาพดีและมีชีวิตชีวามากขึ้น ทั้งนี้ต้องขึ้นอยู่กับ ลักษณะของแต่ละบุคคลได้ด้วย

ระยะขั้นที่ 2 โดยระยะนี้จะเป็นระยะประมาณ 2 สัปดาห์ หลังจากการทำเซลล์บำบัด จะเป็นระยะของการแยกแยะกลุ่มเซลล์ โดยระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย จะมีการปรับตัวซึ่งระยะนี้ส่งผลทำให้บางคน มีอาการอ่อนเพลีย เหนื่อยง่ายและมีอารมณ์ไม่คงที่ เป็นครั้งคราว

ระยะขั้นที่ 3 จะเป็นระยะของการเกิดของเซลล์ใหม่ ซึ่งจะเกิดขึ้นในระหว่างสัปดาห์ที่ 3 และสัปดาห์ที่ 4 และต่อเนื่องไปเรื่อยๆจนกระทั่งถึง 4 ถึง 6 เดือน โดยระยะนี้จะเกิดการสร้างเซลล์ใหม่ และซ่อมแซมเซลล์ทำให้อวัยวะในร่างกาย ได้รับการกระตุ้นให้เกิดการซ่อมแซมตัวเอง ส่งผลให้สุขภาพโดยรวมแข็งแรมากยางขึ้น และระบบไหลเวียนโลหิตดี ผิวพรรณดูสดใส โดยเฉพาะในกลุ่มของผู้มีสุขภาพดี ทำให้เซลล์บำบัดเพื่อจุดประสงค์ ในการฟื้นฟูบำรุงสุขภาพนั้น จะทำให้หน้าดูอ่อนเยาว์และมีชีวิตชีวามากยิ่งขึ้น ระยะนี้จึงมองเห็นผลได้อย่างชัดเจน มากกว่าระยะอื่นๆ

 

เซลล์บำบัดมีประโยชน์อย่างไร

เซลล์บำบัดมีประโยชน์กับภาวะใดบ้าง

  1. ภาวการณ์แก่ก่อนวัย แล้วใช้เซลล์บำบัดเพื่อชะลอวัยซึ่งใช้เป็นปกติ
  2. โรคหัวใจ
  3. โรคเกี่ยวกับปอด
  4. โรคปลอกประสาทเสื่อมแข็ง
  5. ภาวะสมองขาดเลือดไปเลี้ยง เนื่องจากหลอดเลือดตีบอุดตันหรือแตก
  6. โรคตับ
  7. โรคไต
  8. โรคถุงลมโป่งพอง
  9. โรคพังผืดที่ปอด
  10. การบาดเจ็บของกระดูกสันหลัง
  11. โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์และโรคข้อเสื่อม
  12. การใช้เซลล์บำบัดเพื่อความงาม

รักษาโรคและภาวะที่เกิดจากการเสื่อมของเซลล์

ร่างกายของเรามีจุดกำเนิดมาจาก เซลล์เริ่มต้นเพียงหนึ่งเซลล์และเจริญเติบโต เพิ่มจำนวนขึ้นจนกลายเป็นเซลล์นับ 1,000,000 เซลล์ และสร้างเป็นอวัยวะต่างๆโดยเซลล์ สามารถเพิ่มจำนวนและเสื่อมสลายไป และก่อตัวขึ้นใหม่ได้เองตามธรรมชาติโดยปัจจัยต่างๆทั้งรูปแบบการใช้ชีวิต การรับประทานอาหาร การใช้ยา รวมถึงอายุที่เพิ่มขึ้น ทำให้เซลล์เสื่อมสภาพลงและทำงานผิดปกติ โดยส่งผลกับระบบอวัยวะต่างๆจนกลายเป็นที่มาของโรค และความผิดปกติต่างๆของร่างกายในที่สุด ซึ่งปัจจัยส่วนมากล้วนมาจากพฤติกรรม การละเลยและขาดการเอาใจใส่ ต่อสุขภาพของเราเป็นหลัก ขั้นตอนการรักษาด้วยเซลล์บำบัด เพื่อให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุด ควรมีเวลาอย่างน้อย 2 ถึง 4 สัปดาห์ ในการตรวจสุขภาพและวินิจฉัย ภาวะความสมบูรณ์ของร่างกาย ก่อนทำการรักษา

โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะนำผล การวิเคราะห์ทางห้องปฏิบัติ การมาวางแผนในการทำเซลล์บำบัด ให้เหมาะสมกับแต่ละบุคคล รวมถึงการให้คำแนะนำในการดูแล เรื่องสรีระร่างกายเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ ในการรักษาอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด หลังจากนั้นจะเข้าสู่การเตรียมความพร้อมของร่างกาย ก่อนทำการรักษา เช่น การล้างพิษเพื่อปรับภูมิ หรือการทำคีเลชั่นซึ่งเป็นการ ล้างพิษในเส้น เลือดการล้างพิษในทางเดินอาหาร หรือการล้างลำไส้และการล้างพิษตับ ด้วยการให้วิตามินกระตุ้น ในให้ตับขับพิษออกมานอกจากนี้ยังมีการเติมวิตามินซี เพื่อสร้างสารแอนติออกซิแดนท์ ซึ่งเป็นการให้สารอาหารที่สำคัญระดับเซลล์

 

คำแนะนำในการดูแลสุขภาพก่อนทำเซลล์บำบัด

  1. 7 สัปดาห์ก่อนทำเซลล์บำบัด ดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 5 ถึง 6 แก้ว
  2. รับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ตามที่แพทย์แนะนำอย่างน้อย 4 สัปดาห์ก่อนทำเซลล์บำบัด
  3. งดรับประทานยาที่ไม่ได้สั่งจากแพทย์อย่างน้อย 7 วันก่อนทำเซลล์บำบัด
  4. งดรับประทานยาที่มีผล ต่อการแข็งตัวของเลือด อย่างน้อยเจ็ดวันก่อนทำเซลล์บำบัด เช่น แอสไพลิน

 

คำแนะนำในการดูแลสุขภาพหลังการทำเซลล์บำบัด

  1. ในวันที่ทำเสร็จ ควรนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ทำจิตใจให้สบาย
  2. สามารถอาบน้ำก่อนหรือหลังทำการเซลล์บำบัด เพื่อทำให้ร่างกายและจิตใจได้ผ่อนคลาย
  3. พักผ่อนอิริยาบถใน 24 โมง 24 ชั่วโมงแรก หลังการทำเซลล์บำบัด
  4. รับประทานอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการ การรสไม่จัด ย่อยง่าย อย่างน้อย 1 เดือน
  5. รับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ตามที่แพทย์แนะนำอย่างน้อย 1 เดือน
  6. หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ และคาเฟอีนในปริมาณสูง แต่สามารถบริโภคเครื่องดื่ม ประเภทแอลกอฮอล์ ชาหรือกาแฟได้ในปริมาณเล็กน้อย หลังอาหารต้องการอย่างน้อย 2 สัปดาห์
  7. งดสูบบุหรี่หรือซิการ์ อย่างน้อย 2 สัปดาห์หรือเท่าที่สามารถลดได้
  8. งดการตากแดด จะเป็นเวลานานๆอย่างต่อเนื่อง หรือการอาบแดดอย่างน้อย 2 สัปดาห์
  9. งดกิจกรรมหรือการออกกำลังกายอย่างหนัก ที่ทำให้อุณหภูมิร่างกาย เพิ่มขึ้นอย่างน้อย 1 สัปดาห์
  10. งดรับวัคซีนหรือยาปฏิชีวนะ ยกเว้นกรณีมีเหตุจำเป็น 1 เดือน หลังจากการทำเซลล์บำบัด
  11. งดการถ่ายเอกซเรย์ ยกเว้นกรณีมีเหตุจำเป็น 1 เดือนหลังจากการทำเซลล์บำบัด

 

  1. stemcell
    stem cell in aesthetics
สอบถามโทร 087-528-2442